วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ส่งประกวดแนวคิด google 10to100
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551
Material And Equipment for Interior Design
ความถ่วงจำเพาะ |
ความหมาย น. อัตราส่วนของนํ้าหนักของเทหวัตถุกับนํ้าหนักของสารมาตรฐานที่มีปริมาตรเท่ากับเทหวัตถุนั้น โดยทั่วไปใช้นํ้าบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ ๔ องศาเซลเซียส. เป็นสารมาตรฐาน. (อ. specific gravity). |
เกิดจากการรวมไม้หลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกันหรือทำจากไม้ชนิดเดียวกัน โดยการตัด ท่อนซุงให้มี ความยาวตามที่ต้องการ แล้วกลึงปอกท่อนซุง หรือฝานให้ได้แผ่นไม้เป็น แผ่นบาง ๆ มีความหนา ตั้งแต่ 1 ถึง 4 มิลลิเมตร แล้วนำมาอัดติดกันโดยใช้กาวเป็นตัว ประสานโดยให้แต่ละแผ่นมีแนวเสี้ยน ตั้งฉากกัน ชั้นนอกสุดจะเป็นแผ่นไม้ เรียกว่าแผ่นหน้า หรือแผ่นหน้าและหลัง ส่วนชั้นกลางเป็นขี้เลื่อย หรือเศษไม้ซ้อนระหว่างผิวหน้ากับแกนกลาง เรียกว่าแถบขวาง (Crossbands)
ปาร์ติเกิลบอร์ด (particleboard) หรือบางประเทศมีการเรียกว่า ชิปบอร์ด (chipboard) เป็นไม้วิศวกรรมประเภทหนึ่ง สร้างมาจากเศษชิ้นไม้ เช่นชิปไม้ หรือแม้แต่ขี้เลื่อย มาประสานกันโดยสารเคมีและนำมาทำการบดอัดด้วยความดันสูง ปาร์ติเกิลบอร์ดจัดเป็นไฟเบอร์บอร์ดชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับเอ็มดีเอฟ และฮาร์ดบอร์ด แต่ปาร์ติเกิลบอร์ดมีส่วนประกอบจากชิ้นไม้ที่ใหญ่กว่า
ปาร์ติเกิลบอร์ดเมื่อเปรียบเทียบกับไม้จริงและไม้อัด จะมีราคาที่ถูกกว่า ความหนาแน่นมากกว่า และมีเนื้อไม้ที่มีลักษณะเดียวกันทั้งชิ้น ขณะที่ความแข็งแรงของปาร์ติเกิลบอร์ดจะน้อยกว่า โดยเมื่อนำมาใช้งานนิยมนำวีเนียร์มาติดเป็นผิวหน้าเพื่อแสดงลายไม้ หรือบางครั้งนิยมนำมาทาสีตกแต่ง
ปาร์ติเกิลบอร์ดนั้นเป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบาสุดในบรรดาไฟเบอร์บอร์ด ซึ่งความแข็งแรงก็น้อยกว่าเอ็มดีเอฟ และฮาร์ดวูด ข้อด้อยอีกอย่างของปาร์ติเกิลบอร์ดคือ ตัวเนื้อไม้มีการขยายตัวได้ง่ายเนื่องจากความชื้นโดยเฉพาะไม้ที่ไม่ได้มีการทาสี หรือว่าเคลือบซีลเลอร์ อย่างไรก็ตามปาร์ติเกิลบอร์ดนิยมนำมาใช้ในงานไม้ที่ใช้ในตัวอาคาร แทนที่งานภายนอกอาคารที่มีความชื้นสูง ปาร์ติเกิลบอร์ดนำมาใช้ตามเคาน์เตอร์ นำมาใช้เป็นฉนวนประวัติของปาร์ติเกิลบอร์ดนั้น ถูกคิดขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่ขาดแคลนไม้ โดยมีการใช้ครั้งแรกในโรงงานที่เมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนี โดยได้นำเศษไม้ ขี้เลื่อย หรือชิปไม้ จากโรงงานมาทุบรวมกันให้มีขนาดเล็ก และนำมาอัดใส่สารเคมีให้เป็นเนื้อเดียวกัน
ฮาร์ดบอร์ดนิยมนำมาใช้ใน งานก่อสร้าง ฮาร์ดบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ ตู้ และอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และมักจะนิยมมาใช้เป็นผิวชั้นนอกสำหรับทำแรมป์ของสเก็ตบอร์ดอีกด้วยครับ

ส่วนรูปนี้เป็นแผ่นบอร์ดที่กำลังจะอัดแผ่นวีเนียร์ สำหรับใช้งานเฟอร์นิเจอร์ ครับ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551
Rendering
เริ่มตั้งแต่ดินสอ เรื่อยไปจนถึงสีหมึกกันเลยครับ เพราะเทอมหน้าผมต้องสอนวิชานี้โดยตรงเลยว่าจะเตรียมไว้ให้ได้อ่านกันก่อนที่จะเรียนกันจริงๆครับ
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551
Orthographic Projection

สวัสดีครับ วันนี้เรามาคุยกัน เรื่องภาพฉาย(orthographic projection) กันนะครับ สงสัยไหมครับว่าว่ามันคืออะไร แล้วมันจะฉายอะไรกันไปทำไม ครับมันมีที่มา แล้วก็ประโยชน์อย่างมากเลยครับ ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานในการเขียนแบบเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะทำให้เราศึกษารูปแบบของชิ้นงานได้ในทุกๆด้านก่อนทำชิ้นงานจริงแล้ว ยังสามารถอธิบายแบบให้ช่างเข้าใจได้ง่ายด้วยครับ เพราะเป็นรูปแบบที่เข้าใจในระดับสากลเลยครับ เอาหล่ะครับ มาดูกันว่าเราจะเขียนภาพฉายของวัตถุได้อย่างไรกันครับ
เริ่มจากกล่องที่ผมกำหนดให้แต่ละด้านมีสีที่แตกต่างกันก่อนนะครับ จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ดูจากรูปจะมีด้าน A อยู่ด้านบน ผมเรียกว่า top view ด้าน B อยู่ด้านหน้า ก็เป็น front view และด้าน C ก็ให้เป็น side view แล้วกัน ส่วนอีกสามด้านที่เหลือ( ด้านใต้ ด้านหลังและ ด้านข้างอีกด้าน) เรายังไม่กล่าวถึงแล้วกันนะครับการเขียนภาพฉายแบบที่เราจะกล่างถึงนี้เราเรียกว่าภาพฉายแบบมุมที่1( First angle Projection)

ทีนี้ก็จินตนาการต่อว่า ถ้าเราไปยืนมองแต่ละด้าน สิ่งที่เราเห็นจะเป็นอย่างไรมาดูกัน

แล้วถ้าเราฉายภาพสิ่งที่เราเห็นลงบนกระดาษหล่ะครับ

เป็นไงบ้างครับนึกภาพเดียวกันหรือเปล่าครับ ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า แนวของวัตถุจะตรงกันพอดี (ผมร่างเส้นเป็นแนวไว้ให้ดูครับ)หลังจากนั้น เรามาลองคลี่กระดาษออกให้เป็นระนาบเดียวกันดูนะครับ (ดูภาพด้านล่างประกอบนะครับ)เราจะเห็นด้านต่างๆของวัตถุวางตัวเรียงเป็นระเบียบ โดยจะแสดงให้เห็นด้านบน ด้านหน้าและด้านข้างของวัตถุ ว่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง นี่แหละครับสำหรับการเริ่มต้นเขียนแบบที่เราเรียกว่าการเขียนภาพฉาย (Orthographic projection)


ทีนี้พอเข้าใจหลักการของมันแล้วใช่ไหมครับ งั้นเราลองมาดูตัวอย่างงานสักหน่อยดีไหมครับ แต่ต้องเป็นครั้งหน้าแล้วหล่ะครับ คอยติดตามนะครับ
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551
One Point Perspective
1.การเขียนทัศนียภาพแบบจุดเดียว (ONE POINT PERSPECTIVE)
2.การเขียนทัศนียภาพแบบสองจุด (TWO POINT PERSPECTIVE)
ส่วนการเขียนทัศนียภาพแบบสามจุด มักนิยมใช้กับการเขียนอาคารภายนอกที่มีขนาดใหญ่ จึงอาจจะอธิบายถึงบ้างพอเข้าใจ
เรามาเริ่มต้นกันที่การเขียนแบบจุดเดียวก่อนแล้วกันครับ
เริ่มต้นที่วัตุถุรูปทรงง่ายๆอย่างกล่องเหลี่ยมๆแล้วกันครับ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการมองเห็นในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นรางรถไฟหรือถนน ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นเส้นตรงที่ขนานไปจนสุดสายตา (a) แต่ที่เราเห็นกลับไม่เป็นเช่นนั้นครับ เราจะเห็นถนนหรือรางรถไฟค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปชนกันที่ขอบฟ้า (b)เราอย่าไปสนใจเลยครับว่าทำไมจึงเห็นเป็นแบบนั้น แต่ที่เรากำลังจะทำก็คือ เราจะเขียนสิ่งที่เราเห็นอย่างไร

ทีนี้เรากลับมาที่กล่องเหลี่ยมๆตันๆของเราต่อ ถ้าเราจินตนาการว่ากล่องที่อยู่ตรงหน้าเรานี้มันยาวไปจนสุดสายตา เราก็จะเห็นว่ากล่องของเราจะเรียวแหลมและค่อยๆเล็กลงจนหายไปเช่นกัน

เอาหล่ะเมื่อจินตนาการได้แล้วเรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มจากเอากล่องเหลี่ยมมาตั้งไว้ข้างหน้าเรา ดู fig.001 ผมกำหนดให้กล่องนี้กว้างประมาณ2เมตร ลึก1เมตรแล้วก็สูงประมาณ1เมตรแล้วกันเราจะได้มองเห็นฝากล่องได้(เพราะเราต้องสูงกว่า 1เมตรแน่นอน)

fig.001
ทีนี้เราก็ยืนให้ตรงกลางกล่องแล้วถอยหลังมายืนให้ห่างกล่องพอประมาณ ที่เราจะได้ก็คือ ตัวกล่อง(Object) และตัวเรา (Spectator)ผมจะเรียกว่าเป็นจุดมองของเราแล้วกัน(Station point) ดู fig.002

fig.002
แต่ที่เราต้องการเพิ่มเติมคือจินตนาการเล็กน้อย ลองสร้างภาพว่ามีกระจกใสแผ่นใหญ่มากๆแนบอยู่ด้านหลังกล่องใบนี้ดูนะครับ
ดู Fig.003

Fig.003
ผมจะเรียกว่ากระจกรับภาพแล้วกัน(Picture plane)ทีนี้เราจะเขียนสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า อย่างไงหล่ะครับ
สิ่งแรกเราต้องนำทุกอย่างที่เราพูดถึงเมื่อสักครู่มาเขียนเป็นแบบแปลนก่อน (คงไม่ต้องบอกแล้วนะครับว่าเขียนแปลนอย่างไร)
ในแปลนเราจะต้องเห็น 3สิ่งนี้นะครับ
1.วัตถุ(Object)
2.จุดมองวัตถุ (Station point)
3.กระจกรับภาพ (Picture plane)
ส่วน image line ไม่จำเป็นต้องเขียนก็ได้นะครับถ้าเข้าใจแล้ว
ดู fig.004 (มี2ภาพนะครับ)คลิกที่รูปเพื่อดูภาพใหญ่ครับ

fig.004

fig.004
เอาหล่ะเราได้แปลนเป็นที่เรียบร้อยแล้วมาเตรียมทำรูปด้านกันเถอะครับ (ใครที่ไม่รู้ว่าเขียนรูปด้านจากแปลนอย่างไร หาอ่านเรื่องภาพฉาย(Orthographic Projection)ดูนะครับ ในรูปด้านให้เราเขียนแต่กระจกบานใหญ่ไว้ก่อนเลย (ต้องมีเส้นพื้นแสดงให้เห็นด้วยนะครับ)ที่ต้องการเพิ่มเติมคือเส้นระดับสายตา (Horizon line)แน่นอนว่าเส้นระดับสายตาคุณน่าจะสูงกว่ากล่องแน่นอน (ยกเว้นถ้าคุณสูงแค่ 90เซ็นติเมตร)เพื่อความสะดวกผมจะกำหนดความสูงของเส้นระดับสายตาไว้ที่ 1.50 เมตรแล้วกันครับ ดู fig.005


fig.005
ทีนี้เราก็ต้องหาจุดรวมสายตา (Vanishing point)แน่นอนต้องอยู่ในเส้นระดับสายตาและต้องอยู่ตรงตำแหน่งที่เรายืนในแปลน ถ้างั้นก็ลากเสันจากตำแหน่งยืนในแปลนมาตัดกับเส้นระดับสายตาในรูปด้านเลยครับ ทีนี้เราก็ได้จุดรวมสายตาแล้ว จากนั้นเราก็เอารูปด้านกล่องมากำกับไว้ด้านข้างซ้ายมือ กันพลาดเรื่องระดับความสูงของวัตถุ ดู fig.006

fig.006
ทีนี้ก็เขียนรูปด้านของกล่องในส่วนที่แนบกระจกก่อนโดยลากเส้นระดับความสูงจากรูปด้านมาตัดกับเส้นกำหนดความกว้างของกล่อง หลังจากได้ภาพของกล่องในส่วนที่แนบกระจกแล้ว ทีนี้ลองจินตนาการว่ากล่องนี้ยาวจากสุดสายตามาจนถึงตัวเราโดยการลากเส้นจากจุดรวมสายตาผ่านมุมทั้ง4มุมของกล่อง เราก็จะได้เส้นกำหนดแนวของกล่องแล้วหล่ะครับ ดู fig.007

fig.007
แต่ว่ากล่องเราไม่ได้ยาวเท่านั้นนี่ แล้วจะเราจะเขียนระยะที่แท้จริงอย่างไรมาดูกัน เราต้องย้อนกลับมาดูที่แปลนกันก่อนนะครับเราจะเห็นว่าเราได้ร่างเส้นสมมุติผ่านด้านข้างของกล่องไว้แล้ว ซึ่งก็คือเส้นเดียวกับที่ลากผ่านมุมด้านล่างทั้งสองด้านของกล่องในรูปด้าน ย้อนกลับมาที่แปลนจากจุดยืนของเรา(Station point) ลากเส้นแทนการมองผ่านมุมของกล่องในแปลน ไปสัมผัสกับเส้นกระจกรับภาพ(picture plane)ในแปลน ทีนี้ก็ฉายภาพ(Projection) ขึ้นไปตัดกับเส้นสมมุติที่เป็นแนวกล่อง เราก็จะได้ระยะกล่องที่ถูกต้องตรงกับแปลน ทำอย่างนี้กับอีกมุมหนึ่งของกล่องเราจะได้แนวของพื้นกล่อง
ดูรูปประกอบนะครับ fig.008

fig.008
ทีนี้ก็ทำแบบเดียวกัน กับส่วนที่เป็นฝากล่อง(มุมบนซ้ายขวาในรูปด้าน) ดูภาพนะครับ จะสังเกตุว่าในแปลนจะเป็นจุดเดียวกับมุมล่างของกล่อง งั้นก็ลากเส้นต่อขึ้นไปเลยครับ fig.009

fig.009
ทีนี้ก็จัดการกับด้านหน้ากล่องได้แล้วนะครับ ดู fig.010

fig.010
เอาหล่ะครับเป็นอันจบ ทีนี้ลองเขียนกล่องที่มีรูปแบบต่างออกไปโดยให้ระยะห่างของเรากับกระจกรับภาพเท่าเดิม แต่ให้เลื่อนวัตถุถอนไปอยู่กลางกระจก และหลังกระจกดูนะครับ เราจะเห็นวัตถุมีขนาดเล็กลง ทดลองดูครับ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองอ่านทบทวนดูอีกครั้งนะครับ



แต่ยังครับ ยังไม่หมดมีอีกหลายวิธีในการเขียน one point perspective ซึ่งบางวิธีนั้นง่ายมากเลยครับคงต้องติดตามอ่านเรื่อยๆนะครับ
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551
Two Point Perspective
อย่างแรก เราต้องจัดวางตำแหน่งชิ้นงาน(Object) ลงบน แนวเส้นกระจก(Picture Plane)สำหรับงานตกแต่งภายใน การวางชิ้นงาน(Object)ไว้หน้าเส้นกระจก(Picture Plane)จะทำให้ได้ภาพที่มีขนาดเหมาะสม (fig.004)

fig.004
หลังจากวางชิ้นงานแล้ว เราก็ต้องมากำหนดจุดยืนของเรา ( Station point) โดยเรามีวิธีหาระยะยืนที่เหมาะสมได้โดย
1. วัดระยะส่วนที่กว้างที่สุดในแนวระนาบของวัตถุที่วางไว้ กำหนดให้เป็นระยะ x
fig.005

2. หลังจากนั้นระยะยืนที่เหมาะสมจะเท่ากับระยะ 2x จากแนวเส้นกระจก ทีนี้เราก็จะได้ระยะยืนที่เหมาะสมแล้วครับ(fig.005) แต่ระยะยืนนี้เราสามารถจะยืนใกล้หรือไกลกว่านี้ได้นะครับ แต่ภาพที่ออกมาก็จะเปลี่ยนไปตามระยะที่เรายืนครับ
เอาหล่ะเมื่อพร้อมแล้ว เราต้องหา จุดรวมสายตา ( Vanishing point) และที่สำคัญคือ คราวนี้มันมีถึง 2 จุด มาดูกันว่าหาอย่างไร
เริ่มต้นจากจุดยืนของเรา ลากเส้นให้ขนานกับด้านของวัตถุทั้งสองด้าน ย้ำว่าต้องขนานกับด้านของวัตถุนะครับแล้วลากเส้นให้ไปตัดกับเส้นกระจก (Picture plane) ที่เราจะได้ก็คือ จุดรวมสายตาจุดที่ 1 และจุดที่ 2 ในแปลน(fig.006)ถูกไหมครับ

fig.006
ทีนี้ก็เรียบร้อยสำหรับแปลนที่พร้อมจะไว้การเขียนทัศนียภาพได้แล้วครับ ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนการเขียนทัศนียภาพแล้ว
มาเริ่มต้นกันเลยครับ หลังจากจัดการกับแปลนเป็นที่เรียบร้อยก็เริ่มเขียนรูปด้านโดย ลากเส้นระดับพื้น (Ground line) (ซึ่งก็คือเส้นกระจกรับภาพ(picture plane) ในแปลนนั่นเองครับ)
จากนั้นเราก็จัดการนำรูปด้านมาวางไว้เตรียมไว้สำหรับหาระดับความสูงของกล่อง แล้วก็ลากเส้นระดับสายตา(ในแบบผมกำหนดให้สูงกว่ากล่อง)ดู fig.007

fig.007
จากนั้นเรามาหาจุดรวมสายตาทั้งสองจุดคือ vp1 และ vp2 โดยการลากเส้นจากจุด ในแปลน มาตัดกับเส้นระดับสายตา เท่านี้ก็จะได้จุดรวมสายตาทั้งสองจุดแล้วครับ
ทีนี้ก็มาหาจุดที่วัตถุสัมผัสกับกระจกกันครับ จากจุดสัมผัสในแปลนลากเส้นมาตัดกับเส้นพื้นในรูปด้านเลย ส่วนความสูงก็ให้ ลากเสันระดับจากรูปด้านได้เลย ทีนี้เราก็ได้เส้นของวัตถุที่สัมผัสกับกระจกเรียบร้อยแล้ว ดู fig.008

fig.008
ครับต่อจากนั้นเรามาดูที่แปลนกันอีกครั้งนะครับเราเห็นเส้นสมมุติที่ลากผ่านวัตถุใช่ไหมครับอย่างที่บอกในความเป็นจริงเราจะเห็นเส้นนี้วิ่งลับสายตาไปเลย ดังนั้นในรูปด้านให้เราลากเส้นผ่านจุดสัมผัสที่จุดปลายของเส้นวัตถุที่สัมผัสกระจกอยู่ เราจะได้เส้นสมมุติด้านข้างของวัตถุ2ด้าน แต่ที่เราต้องการคือความยาวของด้านวัตถุที่แท้จริงในเส้นสมมุติ ให้เราย้อนกลับมาที่แปลนจะเห็นว่าความยาวของวัตถุแต่ละด้านจะอยู่ตรงจุดหนึ่งบนเส้นสมมุติ จะหาจุดนี้ให้เราเริ่มต้นจากจุดยืน(Station point)แล้วลากเส้นผ่านจุดปลายของเส้นวัตถุทั้งสองด้านไปสัมผัสกับเส้นกระจกรับภาพ แล้วฉายภาพขึ้นไปตัดกับเส้นสมมุติของวัตถุในรูปด้านเราจะได้ความยาวของด้านของวัตถุ จากนั้นลากเส้นจากจุดรวมสายตาทั้งสองด้านมาตัดที่จุดตัดนี้เราก็จะได้อีกสองด้านของกล่องที่สมบูรณืครับ

fig.009
เมื่อได้พื้นกล่องแล้วทีนี้เราก็มาหาผนังกล่อง จากจุดรวมสายตาลากผ่านปลายบนสุดของเส้นวัตถุที่แนบกับกระจกรับภาพ(ซึ่งเป็นระดับความสูงที่ได้จากรูปด้านวัตถุ) จากนั้นลากเส้นตั่งฉากจากมุมของกล่องทั้งสองด้านจะได้มุมกล่องที่สองและที่สาม ดู fig.010

fig.010
หลังจากได้จุดตัดทั้งสองให้ลากเส้นจากจุดรวมสายตาทั้งสองด้านตัดผ่านจุดทั้งสอง จะได้จุดตัดที่เป็นมุมที่สี่ของฝากล่อง ดู fig.011

fig.011
หลังจากนั้นก็ลากเส้นตั้งฉากจากมุมล่างไปมุมบนของกล่อง เราก็จะได้ภาพกล่องที่เสร็จสมบูรณืแล้วครับ ดู fig.012

fig.012
ที่เหลือก็ตกแต่งให้สวยงามเรียนร้อย เป็นอันจบขบวนการ

fig.013
ตัวอย่างงานเขียนแบบ two point perspective


แต่ยังไม่ได้หมดเท่านี้นะครับ ยังมีเทคนิคอีกหลายรูปแบบ ในการเขียน two point perspective ลองติดตามอ่านเรื่อยๆนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551
เบื้องหลังความงาม
แต่ทุกครั้งที่ต้องไปตรวจงานที่พื้นที่ในการตกแต่ง กล้องถ่ายรูป ก็เป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกความคืบหน้าของงานที่ทำ ผมมักจะบันทึกภาพผลงานที่ตกแต่งเพื่อไปพิจารณาถึงจุดต่างๆเพื่อหาข้อบกพร่องใว้เตรียมการแก้ไขปรับปรุง ให้งานออกมาดีที่สุดก่อนที่งานทั้งหมดจะแล้วเสร็จ ผมใช้เวลาไม่นานในการบันทึกภาพงานเหล่านั้น เพราะทั้งฝุ่นละอองและ ความวุ่นวายทั้งหลาย รวมถึงงานที่ยังไม่แล้วเสร็จจึงไม่มีส่วนไหนที่สวยงามพอที่จะบันทึกภาพได้ แต่แล้ววันหนึ่งผมก็คนพบความงดงาม ความหมายของเหตุการณ์ ของบางอย่างที่สามารถบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันอยู่รอบๆตัวผมตลอดเวลา มันเป็นความงามที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายความไม่เป็นระเบียบ ผมเริ่มบันทึกภาพเหล่านั้นไว้บอกเล่าเรื่องราว เบื้องหลังความงาม ที่ยังมีความงดงามแฝงอยู่
หลากหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หน้างานตกแต่งบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้ดี ลองมาดูกันครับ

เล่ห์เหลี่ยม
หลังจากการทำงานทั้งวัน การจัดเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อยย่อมทำให้การทำงานในวันถัดไปสะดวกสบายขึ้น

มุมมองที่แตกต่าง
ช่วงพักเที่ยง ช่างปูกระเบื้องวางมือจากการเจียรกระเบื้องให้ได้ขนาดตามพื้นที่ที่ต้องการ ร่องรอยที่เกิดจากผงฝุ่นทำให้เกิดมิติที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้อย่างดี

แสงและเงา
บางครั้งในที่ทำงานบางจุดที่จำเป็นต้องใช้แสงสว่าง ก็ทำให้เกิดบรรยากาศที่บอกเล่าเรื่องราวได้ดี

หมู่คณะ
กระเป๋าใส่ของจำเป็นของช่างบางครั้งหน้างานไม่มีพื่นที่จัดเก็บ การหาที่วางกระเป๋าให้สามารถหยิบใช้อย่างสะดวกสบาย บางทีก็จำเป็น

ร่องรอยอารยะธรรม
ระหว่างการทำงานแสงไฟจากไฟส่องสว่างก็อาจทำให้เกิดเรื่องราวบนเศษหินปูนต่างๆที่ถูกสกัดออกมาได้

โต๊ะเขียนแบบ
การแกปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้นได้เสมอ ในงานออกแบบ การหาโต๊ะเขียนแบบมาไว้ที่หน้างานก็จำเป็น แต่ถ้าบางครั้งจำเป็นจริงๆ โต๊ะไม้ธรรมดา ก็สามารถทำหน้าที่แทนได้

ม้าไม้
หลังจากถูกใช้งานมาทั้งวัน โต๊ะไม้ตัวนี้(ผมว่ามันเป็นโต๊ะมากกว่าเก้าอี้)ก็ถูกวางไว้อย่างสงบ รอใช้งานต่อไป

เบื้องหลังความงามที่แท้จริง
ผู้รับเหมาย่อมมีส่วนร่วมในการที่จะทำให้งานออกแบบมาดีหรือไม่ การคัดหาผู้รับเหมาที่ดีมีฝีมือและมีความรับผิดชอบก็จำเป็นอย่างยิ่งในการทำงาน

ความในใจ
งานระบบท่อต่างมีความจำเป็นที่ต้องตรวจสอบและแก้ไขก่อนทำการปิดฝ้าเพดาน โดยเฉพาะงานที่ปรับปรุงจากอาคารเก่า เปรียบเหมือนด้านมืดในใจของมนุษย์ที่ต้องปกปิดไว้

คลังสมบัติ
ลังเก็บอุปกรณ์และเครื่องมือช่าง ขนาดของมันใหญ๋พอที่จะป้องกันการขโมยได้พอควร

Bathroom
ห้องอาบน้ำกลางแจ้งที่เคยใช้สำหรับชำระร่างกายถูกทิ้งให้ฝุ่นละอองจากเศษปูนเกาะจนหนา เพราะมีที่อาบน้ำใหม่ที่มิดชิดกว่า

Oasis
กระติกน้ำใบเล็กที่ใช้สำหรับแก้กระหายน้ำจากการทำงาน ถูกฝุ่นละอองจากการเจียรหินปกคลุมจนขาวโพลน (ภาพที่เห็นใช้ Photoshop แก้ไขให้เกิดบรรยากาศที่ชวนกระหายมากขึ้น )

คลังอาวุธ
เครื่องมือช่างไฟ ที่ใช้ทำงาน สีสันร้อนแรงน่าดู

หนักหัว
หมวกคนงานที่ถูกแขวนไว้ขณะพักกลางวัน บอกเล่าถึงความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

Untitle...
ไม่มีความหมายใดๆในขณะถ่ายแค่เห็นมันเจ๋งดี
ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของงานตกแต่งที่ผมได้เก็บรวบรวมไว้ แล้วจะนำมาลงให้ดูกันอีกครับ