วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

Material And Equipment for Interior Design

สวัสดีครับบทความนี้เราจะพูดถึงวัสดุและอุปกรณ์สำหรับงานตกแต่งภายในโดยเฉพาะเลยครับ ลองสังเกตุดูสิครับว่าเดี๋ยวนี้วัสดุและอุปกรณ์สำหรับงานตกแต่งภายในมีมากมายให้เราได้เลือกใช้ในงานออกแบบอย่างมากมายจนบางครั้งเลือกไม่ถูกเลย วัสดุบางตัวก็ใหม่มากจนไม่กล้าใช้ บางอย่างเป็นวัสดุสังเคราะห์แทนวัสดุธรรมชาติ ซึ่งถ้าเอามาพูดคุยกันโดยไม่แยกหมวดหมู่แล้วผมว่ามีสับสนแน่นอน งั้นเรามาแยกหมวดหมู่เป็นกลุ่มใหญ่กันก่อนดีกว่านะครับจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้น โดยเริ่มต้นจาก
1. ไม้ (Wood)


พูดถึงไม้น่าจะเป็นวัสดุที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดและถูกใช้อย่างแพร่หลายในทั่วทุกประเทศ
ซึ่งถ้าเราจะจำแนกพันธุ์ไม้ที่มีอยู่เกือบ 40,000ชนิด ออกเป็นจำพวกใหญ่ก็น่าจะแบ่งได้เป็น
1. ไม้เนื้ออ่อน(Softwoods)
โดยทั่วไปไม้เนื้ออ่อนจะเติบโตได้ดีในแถบประเทศที่มีภูมิอากาศค่อนข้างเย็น เป็นไม้ที่ได้จากต้นไม้จำพวกสน Coniferae ลักษณะใบเรียวเล็ก (Needle leaves) ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย (Cone)โครงสร้างของไม้เนื้ออ่อนเป็นแบบธรรมดาซึ่งแตกต่างจากไม้เนื้อแข็งอย่างชัดเจน และมีความเหมาะสมในการใช้งานก่อสร้างได้ เนื้อไม้ของไม้สนหลายชนิดค่อนข้างอ่อนจึงง่ายต่อการไสตบแต่ง มีน้ำหนักเบาแต่ก็แข็งพอที่จะใช้สำหรับงานก่อสร้างโดยทั่วไปได้ลักษณะที่เห็นได้ชัดเจนก็คือสีของไม้ค่อนข้างซีด เนื้ออ่อน ลายละเอียดและมักจะมีตาค่อนข้างเยอะ จึงมักถูกใช้เป็นวัสดุพื้นฐานในงานก่อสร้างประเภทต่างๆ รวมทั้งงานตกแต่งภายในด้วย แต่มักจะเป็นอาหารของแมลงกินไม้จึงมักจะต้องป้องกันด้วยน้ำยาป้องกันปลวกและแมลงก่อนนำมาใช้
2.ไม้เนื้อแข็ง(Hardwoods)
เป็นไม้ที่เติบโตได้ดีทั้งในแถบภูมิอากาศที่ร้อนและเย็นคุณสมบัติที่เด่นก็คือความแข็งแรงทนทานและรับน้ำหนักได้ดีเป็นไม้ที่ได้มาจากต้นไม้ที่มีใบกว้าง (broad leaved trees) ซึ่งเป็นไม้จำนวนมากที่มีอยู่ในป่าไม้ของประเทศไทยด้วย ลักษณะโครงสร้างของไม้เนื้อแข็งมีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าไม้เนื้ออ่อน และมีลักษณะแตกต่างระหว่างไม้เนื้อแข็งด้วยกันเองมาก คุณสมบัติของไม้เนื้อแข็งมีความแตกต่างระหว่างพวกไม้เนื้อแข็งด้วยกันทั้งในด้านความแข็งแรงของการรับน้ำและความแข็งของเนื้อไม้
ไม้ทั้งสองชนิดมีหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้ในงานก่อสร้างและตกแต่งภายใน แต่ผมจะนำมากล่าวถึงเฉพาะทีเป็นที่นิยมและเหมาะสมต่อการนำมาใช้งานในบ้านเราโดยจะกล่าวโดยรวมทั้งสองประเภท
เรามาเริ่มต้นกันที่ไม้ยอดนิยมของบ้านเราก่อนดีกว่านะครับ
1. ไม้สัก
ไม้สัก จัดเป็นประเภทไม้เนื้ออ่อน มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Teak และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis อยู่ในวงค์ Verbenaceae มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกไม้สัก เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และบางส่วนของภาคกลางและตะวันตก คือ ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สำพูน เชียงราย สำปาง แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และพิจิตรและมีบ้างเล็กน้อยในจังหวัด นครสวรรค์ อุทัยธานี และกาญจนบุรี ลักษณะเนื้อไม้ สีเหลืองทอง ถึงสีน้ำตาลแก่ มีลายเป็นเส้นสีน้ำตาลแก่แทรก เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลาง เลื่อยใสกบ ตบแต่งง่าย ไม้สัก ปลวกและมอดไม่ทำอันตราย เพราะในเนื้อไม้สักมีสารเคมีพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ชื่อ O-cresyl methyl ether สารเคมีชนิดนี้ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ของกรมป่าไม้ มีคุณสมบัติ เมื่อทาหรืออาบไม้แล้วไม้จะมีความคงทนต่อ ปลวก แมลง เห็ดราได้อย่างดียิ่ง นอกจากนี้ในไม้สักทอง ยังพบว่ามีทองคำปนอยู่ 0.5 ppm. (past per millions)(1p.p.m.คือ 1 ส่วนของตัวถูกละลายต่อ 1 ล้านส่วนของตัวทำละลาย)(ไม้สักทอง 26 ต้น มีทองคำหนัก 1 บาท) ส่วนงานตกแต่งที่ทำจากไม้สักที่มีชื่อเสียงคือพระที่นั่งวิมานเมฆเป็นสิ่งปลูกสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลก
2. ไม้มะค่า
ไม้มะค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้มะค่าโมงเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีค่าทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับที่สองรองจากไม้สักและ เป็นไม้ที่หายากชนิดหนึ่งไม้มะค่ามีคุณสมบัติทีดีคือเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานมีลวดลายไม้ที่สวยงามมาก เนื้อไม้ ทีทั้งที่ออกสีเหลือง อ่อน และ สีออกเหลืองอมชมพู ไม้มะค่าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นไม้ที่มีอายุยืนยาวมาก อยู่ในระหว่าง 100-300 ปี เป็นต้นไม้ที่มีีขนาดใหญ่มากมึค่าความถ่วงจำเพาะ อยู่ที 0.85-0.99 (สงสัยหล่ะสิครับว่าความถ่วงจำเพาะคืออะไร อ่านต่อไปครับ) จึงมีเนื้อไม้ที่มีความหนักแน่น มักจะนิยมใช้กันใช้ใน อุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ รวมถึง งานตกแต่งทั้งภายในและภายนอก อาทิเช่น ไม้พื้น ไม้บันได ไม้ฝ้า เพดาน บัวไม้ วงกบ ประตู หน้าต่าง คานไม้และไม้แปรรูปทั่วไป เป็นต้น แหล่งไม้ พบได้ในประเทศไทย ลาว พม่า กัมพูชา เป็นต้น
ความถ่วงจำเพาะ
ความหมาย
น. อัตราส่วนของนํ้าหนักของเทหวัตถุกับนํ้าหนักของสารมาตรฐานที่มีปริมาตรเท่ากับเทหวัตถุนั้น โดยทั่วไปใช้นํ้าบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ ๔ องศาเซลเซียส. เป็นสารมาตรฐาน. (อ. specific gravity).
3. ไม้ตะแบก
ไม้ตะแบกจัดอยู่ในประเภทไม้เนื้อปานกลางมีความถ่วงจำเพาะที่ 0.72 เป็นไม้เศรษฐกิจอีกประเภทหนึ่งที่ปัจจุบันนิยมนำมา ใช้้ในการตกแต่งที่อยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติที่ดีคือเป็นไม้ที่มีลวดลายไม้ที่สวยงามใกล้เคียงกับไม้สักเนื้อไม้จะออกสีอ่อนและมีเนื้อไม้ที่ไม่อ่อนไม่แข็งจนเกินไปจึงง่ายต่อการตกแต่ง และที่สำคัญคือเป็นไม้จริงที่มีราคาที่ไม่แพง และหาได้ไม่ยากนักใน ปัจจุบันมีผู้นิยมนำ มาใช้ใน อุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ รวมถึง งานกแต่งทั้งภายในและภายนอก อาทิเช่น ไม้พื้น บานประตู ไม้บันได ไม้ผ้า เพดาน บัวไม้แบะไม ้้แปรรูปทั่วไป เป็นต้น แหล่งไม้ พบได้ในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา
4.ไม้แดง
ไม้แดงเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีค่าทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับต้นๆ มีความถ่วงจำเพาะอยู่ที่ 1.05ปัจจุบันจัดเป็นไม้หายาก มีคุณ สมบัติที่ดีคือมีความแข็งแรงมากทนทานมีลวดลายไม้ที่สวยงามเนื้อไม้มีสีแดงและแดงขึ้นเรื่อยๆเมื่อถูกทิ้งไว้นานๆไม้แดงส่วนใหญ่ เป็นไม้ที่มีอายุยืนยาวมาก และเป็นต้นไม้ทีมีขนาดใหญ่ ปัจจุบันมักนิยมใช้ในอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ รวมถึง งานตกแต่ง ทั้ง ภายในและภายนอก เช่น เสาเรือนไม้ ไม้พื้น ไม้บันได ไม้ฝ้าเพดาน บัวไม้ คานไม้เพื่อโชว์ และไม้แปรรูปทั่วไป แต่เนื่องจากเป็น ไม้ที่มีความถ่วงจำเพาะสูง จึงไม่ค่อยนิยมใช้ทำวงกบ บาน ประตู และหน้าต่าง เป็นต้น แหล่งไม้ พบได้ในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา
5.ไม้เต็ง
ไม้เต็งเป็นไม้เนื้อแข็งที่ีค่าทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับต้นๆเช่นกันมีความถ่วงจำเพาะที่1.07 หาได้ไม่ยาก ไม้เต็งมีอยู่หลาย ชนิดเช่น ไม้เต็งดง หรือ ไม้เต็งลาว , ไม้เต็งมาเลย์,ไม้เต็งซาบ้า,ไม้เต็งแดง,ไม้เต็งอินโด เป็นต้น นิยมเรียกชื่อตามแหล่งกำเนิดของไม้เพราะถึงแม้ว่าจะ มีสายพันธุ์ไม้เดียวกัน แต่มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันทีเดียวนัก เช่นไม้เต็งลาวจะเป็นไม้ที่มีความหนาแน่นมากกว่าสีของไม้ออกเหลืองเพราะอยู่ในพื้นที่ไม่ร้อนชื้นเกินไปนัก , ไม้เต็งมาเลย์ก็จะมีคุณสมบัติใกล้เคียง แต่ไม้อาจจะมีความชื้นมากกว่าไม้เต็งลาว ไม้เต็งอินโดฯก็จะมีความชื้นมากกว่าจะทำให้ความหนาแน่นของไม้น้อยกว่าเพราะอยู่ในสภาพอากาศและป่าร้อนชื้น ไม้เต็งมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือว่าบางส่วนของ ต้นจะมีรูคล้าย ๆ รูมอด แต่จริง ๆ แล้วจะเป็นรูของเนื้อไม้โดยธรรมชาติที่เป็นรูระบายอากาศของต้นไม้และไม้เต็งบางชนิดเช่นเต็งอินโดฯบางครั้ง ลำต้นบางส่วนจะอยู่ไต้น้ำจึงต้องอาศัยการ ระบายอากาศออกทางรูเหล่านี้ แต่ในบรรดาไม้เต็งทั้งหลาย ก็จะมีไม้เต็งแดง อีกชนิดหนึ่งที่จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องรูอากาศเหล่านี้ แต่ความหนาแน่นและความถ่วงจำเพาะอาจจะไม่เท่ากับไม้เต็งชนิดอื่นไม้เต็งลำต้นมีขนาดปานกลางถึงใหญ่มากเป็นไม้ที่มีอายุยีนยาวเป็นไม้ที่นิยมมากเช่นกันในปัจจุบันนี้เนื่องจากเป็นไม้ที่ดีและราคาไม่แพงมากนัก อีกทั้งยังหาซื้อได้ง่ายกว่าไม้ตัวอื่น มักจะนิยมใช้กันใน อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ รวมถึง งานตกแต่งทั้งภายในและ ภายนอก อาทิเช่น เสาเรือนไม้ ไม้พื้น (ต้องอบ) ไม้บันได ไม้ฝ้าเพดาน บัวไม้ คานไม้เพื่อโชว์ และ ไม้ แปรรูปทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นไม้ที่มีความ ถ่วงจำเพาะสูงจึงไม่ค่อยนิยม ใช้ ทำวงกบ บานประตู และ หน้าต่าง เป็นต้น แหล่งไม้ พบได้ในประเทศไทย ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น

แต่จากการที่เรานำไม้มาใช้ในงานก่อสร้างและงานตกแต่งอย่างกว้างขวางมากขึ้น ทำให้เรามีการนำไม้ต่างมาแปรรูปเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและยังช่วยประหยัดทรัพยากรได้อีกด้วย ที่นิยมนำมาแปรรูปเพื่อการใช้งานมีหลายรูปแบบแต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ

1.ไม้อัด(plywood)
เกิดจากการรวมไม้หลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกันหรือทำจากไม้ชนิดเดียวกัน โดยการตัด ท่อนซุงให้มี ความยาวตามที่ต้องการ แล้วกลึงปอกท่อนซุง หรือฝานให้ได้แผ่นไม้เป็น แผ่นบาง ๆ มีความหนา ตั้งแต่ 1 ถึง 4 มิลลิเมตร แล้วนำมาอัดติดกันโดยใช้กาวเป็นตัว ประสานโดยให้แต่ละแผ่นมีแนวเสี้ยน ตั้งฉากกัน ชั้นนอกสุดจะเป็นแผ่นไม้ เรียกว่าแผ่นหน้า หรือแผ่นหน้าและหลัง ส่วนชั้นกลางเป็นขี้เลื่อย หรือเศษไม้ซ้อนระหว่างผิวหน้ากับแกนกลาง เรียกว่าแถบขวาง (Crossbands)
การอัดชั้นไม้อัดจะอัดทีละ 3,5หรือ 7ชั้น เกรดที่ดีที่สุดของไม้อัดคือ A-A (หน้าเรียบทั้งสองด้าน) A-B (หน้าเรียบด้านหนึ่ง หยาบด้านหนึ่ง) และ A-C (ด้านหลังคุณภาพต่ำ) แผ่นไม้จะถูกอบแห้งในเตาอบ ไม้อัด มีขนาด กว้าง 4 ฟุต ยาว 8 ฟุต หนา 4,6,8,10,15 และ 20 มิลลิเมตร ราคาก็จะมีความแตกต่างกัน
2.เอ็มดีเอฟ(MDF) Medium Density Fibreboard
เอ็มดีเอฟ (MDF ย่อจาก medium-density fiberboard) หรือ ไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง เป็นไม้วิศวกรรมประเภทหนึ่งสร้างขึ้นจากการบดไม้เนื้ออ่อน และมาอัดเป็นชิ้นไม้โดยประสานกันด้วยสารเคมีภายใต้อุณหภูมิและความดันสูง เอ็มดีเอฟมีลักษณะคล้ายไม้อัด แต่ลักษณะของโครงสร้างของไม้จะต่างกันโดยส่วนประกอบของเอ็มดีเอฟทำมาจากเยื่อไม้ ไม้เอ็มดีเอฟมีความหนาแน่นมากกว่าปาร์ติเกิลบอร์ดทั่วไป โดยเอ็มดีเอฟมีความหนาแน่นประมาณ 600-800 กก./ม³ ในขณะที่ปาร์ติเกิลบอร์ดไปมีความหนาแน่น 160-450 กก./ม³ ขณะที่ฮาร์ดบอร์ดจะอยู่ที่ 600-1450 กก./ม³สารเคมีที่นิยมนำมาประสานเอ็มดีเอฟคือ ฟอร์มัลดีไฮด์เรซินส์ (formaldehyde resins) นอกจากนี้ในการตัดชิ้นงานไม้เอ็มดีเอฟ ขณะที่ตัดจะมีปริมาณอนุภาคฝุ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งในการทำงานควรจะทำงานในสภาวะที่มีการดูดควันและฝุ่นออก รวมถึงสวมหน้ากากในขณะที่ทำงานกับไม้เอ็มดีเอฟ
3.ชิพบอร์ด(Chipboard)

ปาร์ติเกิลบอร์ด (particleboard) หรือบางประเทศมีการเรียกว่า ชิปบอร์ด (chipboard) เป็นไม้วิศวกรรมประเภทหนึ่ง สร้างมาจากเศษชิ้นไม้ เช่นชิปไม้ หรือแม้แต่ขี้เลื่อย มาประสานกันโดยสารเคมีและนำมาทำการบดอัดด้วยความดันสูง ปาร์ติเกิลบอร์ดจัดเป็นไฟเบอร์บอร์ดชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับเอ็มดีเอฟ และฮาร์ดบอร์ด แต่ปาร์ติเกิลบอร์ดมีส่วนประกอบจากชิ้นไม้ที่ใหญ่กว่า

ปาร์ติเกิลบอร์ดเมื่อเปรียบเทียบกับไม้จริงและไม้อัด จะมีราคาที่ถูกกว่า ความหนาแน่นมากกว่า และมีเนื้อไม้ที่มีลักษณะเดียวกันทั้งชิ้น ขณะที่ความแข็งแรงของปาร์ติเกิลบอร์ดจะน้อยกว่า โดยเมื่อนำมาใช้งานนิยมนำวีเนียร์มาติดเป็นผิวหน้าเพื่อแสดงลายไม้ หรือบางครั้งนิยมนำมาทาสีตกแต่ง

ปาร์ติเกิลบอร์ดนั้นเป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบาสุดในบรรดาไฟเบอร์บอร์ด ซึ่งความแข็งแรงก็น้อยกว่าเอ็มดีเอฟ และฮาร์ดวูด ข้อด้อยอีกอย่างของปาร์ติเกิลบอร์ดคือ ตัวเนื้อไม้มีการขยายตัวได้ง่ายเนื่องจากความชื้นโดยเฉพาะไม้ที่ไม่ได้มีการทาสี หรือว่าเคลือบซีลเลอร์ อย่างไรก็ตามปาร์ติเกิลบอร์ดนิยมนำมาใช้ในงานไม้ที่ใช้ในตัวอาคาร แทนที่งานภายนอกอาคารที่มีความชื้นสูง ปาร์ติเกิลบอร์ดนำมาใช้ตามเคาน์เตอร์ นำมาใช้เป็นฉนวนประวัติของปาร์ติเกิลบอร์ดนั้น ถูกคิดขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่ขาดแคลนไม้ โดยมีการใช้ครั้งแรกในโรงงานที่เมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนี โดยได้นำเศษไม้ ขี้เลื่อย หรือชิปไม้ จากโรงงานมาทุบรวมกันให้มีขนาดเล็ก และนำมาอัดใส่สารเคมีให้เป็นเนื้อเดียวกัน

ฮาร์ดบอร์ด (hardboard) หรือเรียก เอชดีเอฟ (HDF - high-density fiberboard) เป็นไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นสูง ซึ่งเป็นไม้วิศวกรรมประเภทหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับปาร์ติเกิลบอร์ด และเอ็มดีเอฟ แต่มีความหนาแน่น และความแข็งแรงสูงกว่า ฮาร์ดบอร์ดสร้างมาจากเศษไม้ที่มีการบดละเอียด และมีการอัดที่ความดันสูง ฮาร์ดบอร์ดแตกต่างจากปาร์ติเกิลบอร์ดที่ไม่จำเป็นต้องมีวัสดุประสาน แต่ในการใช้งานนั้นมักจะมีการใส่เรซินเติมเข้าไปอยู่บ้าง วีเนียร์ ฟอร์มีกา และไวนิล นิยมใช้ในการตกแต่งผิวหน้าของฮาร์ดบอร์ด

ฮาร์ดบอร์ดนิยมนำมาใช้ใน งานก่อสร้าง ฮาร์ดบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ ตู้ และอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และมักจะนิยมมาใช้เป็นผิวชั้นนอกสำหรับทำแรมป์ของสเก็ตบอร์ดอีกด้วยครับ

5.วีเนียร์(Vineer)
วีเนียร์ (veneer) หรือ ไม้วีเนียร์ (wood veneer) เป็นไม้ชิ้นบางๆ ที่มีขนาดบางกว่า 3 มม. (1/8 นิ้ว) ใช้ในการแปะติดกับแผ่นไม้อัด ปาร์ติเกิลบอร์ด และ เอ็มดีเอฟเพื่อใช้ในการสร้างลวดลายไม้ วีเนียร์นิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ ทำประตู ทำตู้ รวมไปถึงพื้นไม้ปาร์เก้ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดก็คือ ช่วยลดการใช้ไม้ประเภทต่างๆ ได้อย่างมาก รวมทั้งทำให้นักออกแบบก็สามารถทำการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้มีลวดลายต่างๆได้มากขึ้นด้วยครับ แล้วผมจะเอาขั้นตอนการทำไม้อัดลวดลายต่างๆมาเล่าให้ฟังนะครับ



ส่วนรูปนี้เป็นแผ่นบอร์ดที่กำลังจะอัดแผ่นวีเนียร์ สำหรับใช้งานเฟอร์นิเจอร์ ครับ












วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

Rendering

สวัสดีครับ บทความนี้กำลังจัดทำอยู่นะครับ เป็นบทความที่เสนอเกี่ยวกับการการลงสีระบายสี ด้วยเทคนิคต่างๆสำหรับการนำเสนองาน (Presentation)
เริ่มตั้งแต่ดินสอ เรื่อยไปจนถึงสีหมึกกันเลยครับ เพราะเทอมหน้าผมต้องสอนวิชานี้โดยตรงเลยว่าจะเตรียมไว้ให้ได้อ่านกันก่อนที่จะเรียนกันจริงๆครับ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

Orthographic Projection


สวัสดีครับ วันนี้เรามาคุยกัน เรื่องภาพฉาย(orthographic projection) กันนะครับ สงสัยไหมครับว่าว่ามันคืออะไร แล้วมันจะฉายอะไรกันไปทำไม ครับมันมีที่มา แล้วก็ประโยชน์อย่างมากเลยครับ ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานในการเขียนแบบเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะทำให้เราศึกษารูปแบบของชิ้นงานได้ในทุกๆด้านก่อนทำชิ้นงานจริงแล้ว ยังสามารถอธิบายแบบให้ช่างเข้าใจได้ง่ายด้วยครับ เพราะเป็นรูปแบบที่เข้าใจในระดับสากลเลยครับ เอาหล่ะครับ มาดูกันว่าเราจะเขียนภาพฉายของวัตถุได้อย่างไรกันครับ
เริ่มจากกล่องที่ผมกำหนดให้แต่ละด้านมีสีที่แตกต่างกันก่อนนะครับ จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ดูจากรูปจะมีด้าน A อยู่ด้านบน ผมเรียกว่า top view ด้าน B อยู่ด้านหน้า ก็เป็น front view และด้าน C ก็ให้เป็น side view แล้วกัน ส่วนอีกสามด้านที่เหลือ( ด้านใต้ ด้านหลังและ ด้านข้างอีกด้าน) เรายังไม่กล่าวถึงแล้วกันนะครับการเขียนภาพฉายแบบที่เราจะกล่างถึงนี้เราเรียกว่าภาพฉายแบบมุมที่1( First angle Projection)

ทีนี้ก็จินตนาการต่อว่า ถ้าเราไปยืนมองแต่ละด้าน สิ่งที่เราเห็นจะเป็นอย่างไรมาดูกัน



แล้วถ้าเราฉายภาพสิ่งที่เราเห็นลงบนกระดาษหล่ะครับ


เป็นไงบ้างครับนึกภาพเดียวกันหรือเปล่าครับ ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า แนวของวัตถุจะตรงกันพอดี (ผมร่างเส้นเป็นแนวไว้ให้ดูครับ)หลังจากนั้น เรามาลองคลี่กระดาษออกให้เป็นระนาบเดียวกันดูนะครับ (ดูภาพด้านล่างประกอบนะครับ)เราจะเห็นด้านต่างๆของวัตถุวางตัวเรียงเป็นระเบียบ โดยจะแสดงให้เห็นด้านบน ด้านหน้าและด้านข้างของวัตถุ ว่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง นี่แหละครับสำหรับการเริ่มต้นเขียนแบบที่เราเรียกว่าการเขียนภาพฉาย (Orthographic projection)




ทีนี้พอเข้าใจหลักการของมันแล้วใช่ไหมครับ งั้นเราลองมาดูตัวอย่างงานสักหน่อยดีไหมครับ แต่ต้องเป็นครั้งหน้าแล้วหล่ะครับ คอยติดตามนะครับ

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

One Point Perspective

การเขียนทัศนียภาพ (Perspective)เป็นการสื่อสารด้วยภาพที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้เข้าใจถึงรูปแบบในการตกแต่งภายในได้ แต่การเขียนทัศนียภาพ ก็มีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้สำหรับงานออกแบบตกแต่งภายในจะแบ่งเป็น
1.การเขียนทัศนียภาพแบบจุดเดียว (ONE POINT PERSPECTIVE)
2.การเขียนทัศนียภาพแบบสองจุด (TWO POINT PERSPECTIVE)
ส่วนการเขียนทัศนียภาพแบบสามจุด มักนิยมใช้กับการเขียนอาคารภายนอกที่มีขนาดใหญ่ จึงอาจจะอธิบายถึงบ้างพอเข้าใจ
เรามาเริ่มต้นกันที่การเขียนแบบจุดเดียวก่อนแล้วกันครับ
เริ่มต้นที่วัตุถุรูปทรงง่ายๆอย่างกล่องเหลี่ยมๆแล้วกันครับ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการมองเห็นในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นรางรถไฟหรือถนน ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นเส้นตรงที่ขนานไปจนสุดสายตา (a) แต่ที่เราเห็นกลับไม่เป็นเช่นนั้นครับ เราจะเห็นถนนหรือรางรถไฟค่อยๆเล็กลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปชนกันที่ขอบฟ้า (b)เราอย่าไปสนใจเลยครับว่าทำไมจึงเห็นเป็นแบบนั้น แต่ที่เรากำลังจะทำก็คือ เราจะเขียนสิ่งที่เราเห็นอย่างไร


ทีนี้เรากลับมาที่กล่องเหลี่ยมๆตันๆของเราต่อ ถ้าเราจินตนาการว่ากล่องที่อยู่ตรงหน้าเรานี้มันยาวไปจนสุดสายตา เราก็จะเห็นว่ากล่องของเราจะเรียวแหลมและค่อยๆเล็กลงจนหายไปเช่นกัน


เอาหล่ะเมื่อจินตนาการได้แล้วเรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มจากเอากล่องเหลี่ยมมาตั้งไว้ข้างหน้าเรา ดู fig.001 ผมกำหนดให้กล่องนี้กว้างประมาณ2เมตร ลึก1เมตรแล้วก็สูงประมาณ1เมตรแล้วกันเราจะได้มองเห็นฝากล่องได้(เพราะเราต้องสูงกว่า 1เมตรแน่นอน)

fig.001

ทีนี้เราก็ยืนให้ตรงกลางกล่องแล้วถอยหลังมายืนให้ห่างกล่องพอประมาณ ที่เราจะได้ก็คือ ตัวกล่อง(Object) และตัวเรา (Spectator)ผมจะเรียกว่าเป็นจุดมองของเราแล้วกัน(Station point) ดู fig.002

fig.002

แต่ที่เราต้องการเพิ่มเติมคือจินตนาการเล็กน้อย ลองสร้างภาพว่ามีกระจกใสแผ่นใหญ่มากๆแนบอยู่ด้านหลังกล่องใบนี้ดูนะครับ
ดู Fig.003

Fig.003

ผมจะเรียกว่ากระจกรับภาพแล้วกัน(Picture plane)ทีนี้เราจะเขียนสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า อย่างไงหล่ะครับ
สิ่งแรกเราต้องนำทุกอย่างที่เราพูดถึงเมื่อสักครู่มาเขียนเป็นแบบแปลนก่อน (คงไม่ต้องบอกแล้วนะครับว่าเขียนแปลนอย่างไร)
ในแปลนเราจะต้องเห็น 3สิ่งนี้นะครับ
1.วัตถุ(Object)
2.จุดมองวัตถุ (Station point)
3.กระจกรับภาพ (Picture plane)
ส่วน image line ไม่จำเป็นต้องเขียนก็ได้นะครับถ้าเข้าใจแล้ว
ดู fig.004 (มี2ภาพนะครับ)คลิกที่รูปเพื่อดูภาพใหญ่ครับ


fig.004

fig.004
เอาหล่ะเราได้แปลนเป็นที่เรียบร้อยแล้วมาเตรียมทำรูปด้านกันเถอะครับ (ใครที่ไม่รู้ว่าเขียนรูปด้านจากแปลนอย่างไร หาอ่านเรื่องภาพฉาย(Orthographic Projection)ดูนะครับ ในรูปด้านให้เราเขียนแต่กระจกบานใหญ่ไว้ก่อนเลย (ต้องมีเส้นพื้นแสดงให้เห็นด้วยนะครับ)ที่ต้องการเพิ่มเติมคือเส้นระดับสายตา (Horizon line)แน่นอนว่าเส้นระดับสายตาคุณน่าจะสูงกว่ากล่องแน่นอน (ยกเว้นถ้าคุณสูงแค่ 90เซ็นติเมตร)เพื่อความสะดวกผมจะกำหนดความสูงของเส้นระดับสายตาไว้ที่ 1.50 เมตรแล้วกันครับ ดู fig.005




fig.005

ทีนี้เราก็ต้องหาจุดรวมสายตา (Vanishing point)แน่นอนต้องอยู่ในเส้นระดับสายตาและต้องอยู่ตรงตำแหน่งที่เรายืนในแปลน ถ้างั้นก็ลากเสันจากตำแหน่งยืนในแปลนมาตัดกับเส้นระดับสายตาในรูปด้านเลยครับ ทีนี้เราก็ได้จุดรวมสายตาแล้ว จากนั้นเราก็เอารูปด้านกล่องมากำกับไว้ด้านข้างซ้ายมือ กันพลาดเรื่องระดับความสูงของวัตถุ ดู fig.006


fig.006

ทีนี้ก็เขียนรูปด้านของกล่องในส่วนที่แนบกระจกก่อนโดยลากเส้นระดับความสูงจากรูปด้านมาตัดกับเส้นกำหนดความกว้างของกล่อง หลังจากได้ภาพของกล่องในส่วนที่แนบกระจกแล้ว ทีนี้ลองจินตนาการว่ากล่องนี้ยาวจากสุดสายตามาจนถึงตัวเราโดยการลากเส้นจากจุดรวมสายตาผ่านมุมทั้ง4มุมของกล่อง เราก็จะได้เส้นกำหนดแนวของกล่องแล้วหล่ะครับ ดู fig.007

fig.007

แต่ว่ากล่องเราไม่ได้ยาวเท่านั้นนี่ แล้วจะเราจะเขียนระยะที่แท้จริงอย่างไรมาดูกัน เราต้องย้อนกลับมาดูที่แปลนกันก่อนนะครับเราจะเห็นว่าเราได้ร่างเส้นสมมุติผ่านด้านข้างของกล่องไว้แล้ว ซึ่งก็คือเส้นเดียวกับที่ลากผ่านมุมด้านล่างทั้งสองด้านของกล่องในรูปด้าน ย้อนกลับมาที่แปลนจากจุดยืนของเรา(Station point) ลากเส้นแทนการมองผ่านมุมของกล่องในแปลน ไปสัมผัสกับเส้นกระจกรับภาพ(picture plane)ในแปลน ทีนี้ก็ฉายภาพ(Projection) ขึ้นไปตัดกับเส้นสมมุติที่เป็นแนวกล่อง เราก็จะได้ระยะกล่องที่ถูกต้องตรงกับแปลน ทำอย่างนี้กับอีกมุมหนึ่งของกล่องเราจะได้แนวของพื้นกล่อง
ดูรูปประกอบนะครับ fig.008

fig.008

ทีนี้ก็ทำแบบเดียวกัน กับส่วนที่เป็นฝากล่อง(มุมบนซ้ายขวาในรูปด้าน) ดูภาพนะครับ จะสังเกตุว่าในแปลนจะเป็นจุดเดียวกับมุมล่างของกล่อง งั้นก็ลากเส้นต่อขึ้นไปเลยครับ fig.009


fig.009

ทีนี้ก็จัดการกับด้านหน้ากล่องได้แล้วนะครับ ดู fig.010


fig.010

เอาหล่ะครับเป็นอันจบ ทีนี้ลองเขียนกล่องที่มีรูปแบบต่างออกไปโดยให้ระยะห่างของเรากับกระจกรับภาพเท่าเดิม แต่ให้เลื่อนวัตถุถอนไปอยู่กลางกระจก และหลังกระจกดูนะครับ เราจะเห็นวัตถุมีขนาดเล็กลง ทดลองดูครับ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองอ่านทบทวนดูอีกครั้งนะครับ







แต่ยังครับ ยังไม่หมดมีอีกหลายวิธีในการเขียน one point perspective ซึ่งบางวิธีนั้นง่ายมากเลยครับคงต้องติดตามอ่านเรื่อยๆนะครับ

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

Two Point Perspective

การเขียนทัศนียภาพแบบ two point perspective แตกต่างจากการเขียน one point perspective (fig.001)ตรงที่วัตถุ มีการวางทำมุม มากกว่าหรือน้อยกว่า 90องศา กับแนวกระจก หรือ picture plane (fig.002)


fig.001

fig.002
ทำให้แนวเส้นของวัตถุเมื่อลากยาวไปรวมกันที่จุดรวมสายตาในเส้นระดับสายตา จะมีจุดรวมสายตาเกิดขึ้นสองจุด (ซึ่งเป็นที่มาของการเขียนทัศนียภาพแบบ two point perspective) ( fig.003)


fig.003
เอาหล่ะทีนี้เมื่อเรารู้ที่มาและแนวทางแล้วมาดูว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้างเพื่อจะได้เขียนทัศนียภาพแบบ Two Point Perspective
อย่างแรก เราต้องจัดวางตำแหน่งชิ้นงาน(Object) ลงบน แนวเส้นกระจก(Picture Plane)สำหรับงานตกแต่งภายใน การวางชิ้นงาน(Object)ไว้หน้าเส้นกระจก(Picture Plane)จะทำให้ได้ภาพที่มีขนาดเหมาะสม (fig.004)


fig.004


หลังจากวางชิ้นงานแล้ว เราก็ต้องมากำหนดจุดยืนของเรา ( Station point) โดยเรามีวิธีหาระยะยืนที่เหมาะสมได้โดย
1. วัดระยะส่วนที่กว้างที่สุดในแนวระนาบของวัตถุที่วางไว้ กำหนดให้เป็นระยะ x

fig.005




2. หลังจากนั้นระยะยืนที่เหมาะสมจะเท่ากับระยะ 2x จากแนวเส้นกระจก ทีนี้เราก็จะได้ระยะยืนที่เหมาะสมแล้วครับ(fig.005) แต่ระยะยืนนี้เราสามารถจะยืนใกล้หรือไกลกว่านี้ได้นะครับ แต่ภาพที่ออกมาก็จะเปลี่ยนไปตามระยะที่เรายืนครับ
เอาหล่ะเมื่อพร้อมแล้ว เราต้องหา จุดรวมสายตา ( Vanishing point) และที่สำคัญคือ คราวนี้มันมีถึง 2 จุด มาดูกันว่าหาอย่างไร
เริ่มต้นจากจุดยืนของเรา ลากเส้นให้ขนานกับด้านของวัตถุทั้งสองด้าน ย้ำว่าต้องขนานกับด้านของวัตถุนะครับแล้วลากเส้นให้ไปตัดกับเส้นกระจก (Picture plane) ที่เราจะได้ก็คือ จุดรวมสายตาจุดที่ 1 และจุดที่ 2 ในแปลน(fig.006)ถูกไหมครับ


fig.006


ทีนี้ก็เรียบร้อยสำหรับแปลนที่พร้อมจะไว้การเขียนทัศนียภาพได้แล้วครับ ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนการเขียนทัศนียภาพแล้ว

มาเริ่มต้นกันเลยครับ หลังจากจัดการกับแปลนเป็นที่เรียบร้อยก็เริ่มเขียนรูปด้านโดย ลากเส้นระดับพื้น (Ground line) (ซึ่งก็คือเส้นกระจกรับภาพ(picture plane) ในแปลนนั่นเองครับ)
จากนั้นเราก็จัดการนำรูปด้านมาวางไว้เตรียมไว้สำหรับหาระดับความสูงของกล่อง แล้วก็ลากเส้นระดับสายตา(ในแบบผมกำหนดให้สูงกว่ากล่อง)ดู fig.007


fig.007


จากนั้นเรามาหาจุดรวมสายตาทั้งสองจุดคือ vp1 และ vp2 โดยการลากเส้นจากจุด ในแปลน มาตัดกับเส้นระดับสายตา เท่านี้ก็จะได้จุดรวมสายตาทั้งสองจุดแล้วครับ
ทีนี้ก็มาหาจุดที่วัตถุสัมผัสกับกระจกกันครับ จากจุดสัมผัสในแปลนลากเส้นมาตัดกับเส้นพื้นในรูปด้านเลย ส่วนความสูงก็ให้ ลากเสันระดับจากรูปด้านได้เลย ทีนี้เราก็ได้เส้นของวัตถุที่สัมผัสกับกระจกเรียบร้อยแล้ว ดู fig.008

fig.008

ครับต่อจากนั้นเรามาดูที่แปลนกันอีกครั้งนะครับเราเห็นเส้นสมมุติที่ลากผ่านวัตถุใช่ไหมครับอย่างที่บอกในความเป็นจริงเราจะเห็นเส้นนี้วิ่งลับสายตาไปเลย ดังนั้นในรูปด้านให้เราลากเส้นผ่านจุดสัมผัสที่จุดปลายของเส้นวัตถุที่สัมผัสกระจกอยู่ เราจะได้เส้นสมมุติด้านข้างของวัตถุ2ด้าน แต่ที่เราต้องการคือความยาวของด้านวัตถุที่แท้จริงในเส้นสมมุติ ให้เราย้อนกลับมาที่แปลนจะเห็นว่าความยาวของวัตถุแต่ละด้านจะอยู่ตรงจุดหนึ่งบนเส้นสมมุติ จะหาจุดนี้ให้เราเริ่มต้นจากจุดยืน(Station point)แล้วลากเส้นผ่านจุดปลายของเส้นวัตถุทั้งสองด้านไปสัมผัสกับเส้นกระจกรับภาพ แล้วฉายภาพขึ้นไปตัดกับเส้นสมมุติของวัตถุในรูปด้านเราจะได้ความยาวของด้านของวัตถุ จากนั้นลากเส้นจากจุดรวมสายตาทั้งสองด้านมาตัดที่จุดตัดนี้เราก็จะได้อีกสองด้านของกล่องที่สมบูรณืครับ


fig.009


เมื่อได้พื้นกล่องแล้วทีนี้เราก็มาหาผนังกล่อง จากจุดรวมสายตาลากผ่านปลายบนสุดของเส้นวัตถุที่แนบกับกระจกรับภาพ(ซึ่งเป็นระดับความสูงที่ได้จากรูปด้านวัตถุ) จากนั้นลากเส้นตั่งฉากจากมุมของกล่องทั้งสองด้านจะได้มุมกล่องที่สองและที่สาม ดู fig.010

fig.010

หลังจากได้จุดตัดทั้งสองให้ลากเส้นจากจุดรวมสายตาทั้งสองด้านตัดผ่านจุดทั้งสอง จะได้จุดตัดที่เป็นมุมที่สี่ของฝากล่อง ดู fig.011

fig.011

หลังจากนั้นก็ลากเส้นตั้งฉากจากมุมล่างไปมุมบนของกล่อง เราก็จะได้ภาพกล่องที่เสร็จสมบูรณืแล้วครับ ดู fig.012

fig.012


ที่เหลือก็ตกแต่งให้สวยงามเรียนร้อย เป็นอันจบขบวนการ

fig.013


ตัวอย่างงานเขียนแบบ two point perspective





แต่ยังไม่ได้หมดเท่านี้นะครับ ยังมีเทคนิคอีกหลายรูปแบบ ในการเขียน two point perspective ลองติดตามอ่านเรื่อยๆนะครับ 

One point and Two-point perspective constructions combined
ครางนี้เรามาลองดูการเขียนร่วมกันระหว่าง one point perspective และ two point perspective
เพราะในงานออกแบบตกแต่งภายใน การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในมุมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดมุมของวัตถุที่แตกต่างในการเขียนทัศนียภาพ (Perspective)  ซึ่งถ้าเข้าใจหลักการแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วครับ เรามาเริ่มต้นที่แปลนกันก่อนเลยแล้วกันครับ ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่าวัตถุทั้งสองชิ้น วางต่างมุมกัน โดยชิ้นแรกวางขนานไปกับแนวกระจกรับภาพ ส่วนชิ้นที่สองวางทำมุมกับกระจกรับภาพ นั่นหมายถึง การเขียนทัศนียภาพคราวนี้ ต้องมีทั้ง one point และ two point perspective อย่างแน่นอน แต่จะอย่างไรหล่ะครับ




และนี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เราจะทดลองเขียนกันครับ



ก็คงต้องเป็นครั้งหน้าแล้วครับ วันนี้ต้องไปนอนแล้วครับ ดึกแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

เบื้องหลังความงาม

อาชีพมัณฑนากร ที่หลายๆคนหลงใหล และใฝ่ฝันจะได้ทำงานในอาชีพนี้ มีหลายคนพูดให้ผมได้ฟังว่าเป็นอาชีพที่น่าอิจฉา ได้อยู่กับสิ่งสวยงาม แต่ใครจะไปคิดว่ากว่าทุกอย่างจะสวยงาม เราต้องผ่านความยุ่งยากอะไรมาบ้าง ทั้งพื้นที่ทำงานที่มีแต่ฝุ่นละออง เสียงที่ดังจากเครื่องมือช่างที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา ความวุ่นวายต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ยังไม่มีสิ่งไหนที่เรียกได้ว่าสวยงาม
แต่ทุกครั้งที่ต้องไปตรวจงานที่พื้นที่ในการตกแต่ง
กล้องถ่ายรูป ก็เป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกความคืบหน้าของงานที่ทำ ผมมักจะบันทึกภาพผลงานที่ตกแต่งเพื่อไปพิจารณาถึงจุดต่างๆเพื่อหาข้อบกพร่องใว้เตรียมการแก้ไขปรับปรุง ให้งานออกมาดีที่สุดก่อนที่งานทั้งหมดจะแล้วเสร็จ ผมใช้เวลาไม่นานในการบันทึกภาพงานเหล่านั้น เพราะทั้งฝุ่นละอองและ ความวุ่นวายทั้งหลาย รวมถึงงานที่ยังไม่แล้วเสร็จจึงไม่มีส่วนไหนที่สวยงามพอที่จะบันทึกภาพได้ แต่แล้ววันหนึ่งผมก็คนพบความงดงาม ความหมายของเหตุการณ์ ของบางอย่างที่สามารถบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันอยู่รอบๆตัวผมตลอดเวลา มันเป็นความงามที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายความไม่เป็นระเบียบ ผมเริ่มบันทึกภาพเหล่านั้นไว้บอกเล่าเรื่องราว เบื้องหลังความงาม ที่ยังมีความงดงามแฝงอยู่

หลากหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หน้างานตกแต่งบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้ดี ลองมาดูกันครับ
Photobucket
เล่ห์เหลี่ยม
หลังจากการทำงานทั้งวัน การจัดเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อยย่อมทำให้การทำงานในวันถัดไปสะดวกสบายขึ้น

Photobucket
มุมมองที่แตกต่าง

ช่วงพักเที่ยง ช่างปูกระเบื้องวางมือจากการเจียรกระเบื้องให้ได้ขนาดตามพื้นที่ที่ต้องการ ร่องรอยที่เกิดจากผงฝุ่นทำให้เกิดมิติที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้อย่างดี

Photobucket
แสงและเงา
บางครั้งในที่ทำงานบางจุดที่จำเป็นต้องใช้แสงสว่าง ก็ทำให้เกิดบรรยากาศที่บอกเล่าเรื่องราวได้ดี

Photobucket
หมู่คณะ

กระเป๋าใส่ของจำเป็นของช่างบางครั้งหน้างานไม่มีพื่นที่จัดเก็บ การหาที่วางกระเป๋าให้สามารถหยิบใช้อย่างสะดวกสบาย บางทีก็จำเป็น

Photobucket
ร่องรอยอารยะธรรม

ระหว่างการทำงานแสงไฟจากไฟส่องสว่างก็อาจทำให้เกิดเรื่องราวบนเศษหินปูนต่างๆที่ถูกสกัดออกมาได้

Photobucket
โต๊ะเขียนแบบ
การแกปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้นได้เสมอ ในงานออกแบบ การหาโต๊ะเขียนแบบมาไว้ที่หน้างานก็จำเป็น แต่ถ้าบางครั้งจำเป็นจริงๆ โต๊ะไม้ธรรมดา ก็สามารถทำหน้าที่แทนได้

Photobucket
ม้าไม้
หลังจากถูกใช้งานมาทั้งวัน โต๊ะไม้ตัวนี้(ผมว่ามันเป็นโต๊ะมากกว่าเก้าอี้)ก็ถูกวางไว้อย่างสงบ รอใช้งานต่อไป

Photobucket
เบื้องหลังความงามที่แท้จริง
ผู้รับเหมาย่อมมีส่วนร่วมในการที่จะทำให้งานออกแบบมาดีหรือไม่ การคัดหาผู้รับเหมาที่ดีมีฝีมือและมีความรับผิดชอบก็จำเป็นอย่างยิ่งในการทำงาน

Photobucket
ความในใจ
งานระบบท่อต่างมีความจำเป็นที่ต้องตรวจสอบและแก้ไขก่อนทำการปิดฝ้าเพดาน โดยเฉพาะงานที่ปรับปรุงจากอาคารเก่า เปรียบเหมือนด้านมืดในใจของมนุษย์ที่ต้องปกปิดไว้

Photobucket
คลังสมบัติ
ลังเก็บอุปกรณ์และเครื่องมือช่าง ขนาดของมันใหญ๋พอที่จะป้องกันการขโมยได้พอควร

Photobucket
Bathroom

ห้องอาบน้ำกลางแจ้งที่เคยใช้สำหรับชำระร่างกายถูกทิ้งให้ฝุ่นละอองจากเศษปูนเกาะจนหนา เพราะมีที่อาบน้ำใหม่ที่มิดชิดกว่า

Photobucket
Oasis

กระติกน้ำใบเล็กที่ใช้สำหรับแก้กระหายน้ำจากการทำงาน ถูกฝุ่นละอองจากการเจียรหินปกคลุมจนขาวโพลน (ภาพที่เห็นใช้ Photoshop แก้ไขให้เกิดบรรยากาศที่ชวนกระหายมากขึ้น )

Photobucket
คลังอาวุธ
เครื่องมือช่างไฟ ที่ใช้ทำงาน สีสันร้อนแรงน่าดู

Photobucket
หนักหัว
หมวกคนงานที่ถูกแขวนไว้ขณะพักกลางวัน บอกเล่าถึงความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

Photobucket
Untitle...
ไม่มีความหมายใดๆในขณะถ่ายแค่เห็นมันเจ๋งดี




ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของงานตกแต่งที่ผมได้เก็บรวบรวมไว้ แล้วจะนำมาลงให้ดูกันอีกครับ